Pages

Thursday, February 28, 2013

จังหวัดเชียงใหม่ ขุนวาง "ซากุระเมืองไทย" (งบประมาณคนละ 6000 บาท)


  สวัสดีค่า อีกแป๊บๆ เดียวก็จะหยุดสงกรานต์ปี 2556 กันอีกแล้ว วันหยุดยาวปีนี้มีเยอะกระแทกใจจริงๆ แอดมินคิดว่าหลายคนน่าจะไปเที่ยวสงกรานต์เล่นน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่กันแน่ๆ เลยใช่ไหมเจ้า รีวิวคราวนี้จึงเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ถึงแม้จะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ที่เคยไปในฤดูหนาว แต่ข้อมูลต่างๆ เช่น การเช่ารถ ที่เที่ยว ฯลฯ คงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยค่า

 ขอเตรียมตังค์ไปเที่ยวก่อนนะคะ
งบประมาณคนละ 6000
ค่าตั๋วเครื่องบิน ตั๋วถูกของแอร์เอเชียไปกลับ ประมาณคนละ 2500
ค่าเช่ารถขับในเชียงใหม่ 1 วัน 1000/2 คน เท่ากับคนละ 500
ค่าที่พัก 2 คืน คืนละ 1900 เท่ากับ 3800/2 คน จ่ายคนละ 1900
เหลืองบกินข้าวและเดินทางในจังหวัดเชียงใหม่ เน้นถ่ายรูปมาให้ผู้ชมในบล็อกดู ไม่เน้นช้อปปิ้ง คนละ 1000 

 เชียงใหม่ในรีวิวนี้เป็นช่วงประมาณต้นปี คือปลายเดือนมกราคม 2556 ค่ะ เป็นช่วงที่ดอกพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยกำลังออกดอกบานสวยงาม เพราะว่าแอดมินชอบดอกซากุระเป็นทุนเดิมแต่ยังไง้ยังไงก็ยังไม่ได้ไปยลที่ญี่ปุ่นเสียที ตั้งเป้าไว้ว่าต้องไปดูพญาเสือโคร่งที่เชียงใหม่ให้ได้

 ก่อนจะไปเราก็ต้องหาข้อมูลกันก่อน พญาเสือโคร่งที่บานในฤดูหนาว ช่วงปลายปีถึงต้นปีนั้น มีหลายจุดให้ชมในประเทศไทย เช่น ที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์, ขุนสถาน จังหวัดน่าน, ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่, ขุนแม่ยะ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

 โดยพญาเสือโคร่งที่เขาค้อจะบานก่อนพร้อมกับอากาศหนาวจัดและไร่กะหล่ำปลีชูช่อราวๆ เดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นราวปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์พญาเสือโคร่งในภาคเหนือก็จะบานไล่ๆ กันมา

 จุดที่แอดมินตั้งใจว่าจะไปคือ ขุนช้างเคี่ยน จังหวัดเชียงใหม่ เพราะมีเวลาแค่ 3 วัน 2 คืน ในการเดินทาง ขุนช้างเคี่ยนนั้นใกล้กับ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ทำให้สามารถเดินทางไปเช้าเย็นกลับจากตัวเมืองได้ และมีการเดินทางให้เลือกหลายวิธี แต่เดี๋ยวตอนหลังจะเปลี่ยนเส้นทางด้วยสาเหตุหนึ่งค่า เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะคะ หึๆๆ

 ในภาษาญี่ปุ่นคำว่า “ดูดอกไม้” นั้นคือคำว่า “ฮานามิ” ที่เป็นชื่อของข้าวเกรียบรวยเพื่อน อาจเป็นเพราะคนญี่ปุ่นมักนั่งกันเป็นกลุ่มล้อมวงพร้อมเพื่อนฝูงมากมายเพื่อชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ จุดที่ยากสำหรับการดูพญาเสือโคร่งนั้นคล้ายกับการไปฮานามิที่ประเทศญี่ปุ่น คือการกะจังหวะเวลาที่ดอกไม้จะบาน พญาเสือโคร่งนั้นมีช่วงบานของดอกเป็นระยะเวลาสั้นเช่นเดียวกับซากุระ คือพญาเสือโคร่งเมื่อเริ่มบานแล้วจะค้างต้นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์เท่านั้น คราวนี้ล่ะต้องมานั่งคิดกันว่าจะไปดูทันตอนบานได้ยังไง

วิธีที่ 1 ค่อยๆ อัพเดทข้อมูลจากเว็บไซท์ต่างๆ แล้วพอบานปุ๊บก็เดินทางขึ้นเชียงใหม่ปั๊บ เช่น ทางเครื่องบิน, รถไฟ, รถยนต์, รถบัส
วิธีที่ 2 สำหรับการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ที่จะได้ราคาถูกกว่า ก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย เช่น การจองตั๋วเครื่องบินราคาถูกที่ต้องจองล่วงหน้ากันหลายๆ เดือน จองวันแล้วเปลี่ยนแปลงได้ลำบาก ตัวแอดมินเอง ใช้วิธีหาข้อมูลการบานของพญาเสือโคร่งในแต่ละปีแล้วเก็บสถิติ

 เช่น ถ้าจะไปดูดอกไม้ปี 2556 ก็ลองหาข้อมูลย้อนหลังไปสักสี่ห้าปี ดูรีวิวตามเว็บต่างๆ ที่มีคนเคยทำไว้ (ดูพยายามมากเลยเพื่อประหยัดค่าตั๋วเครื่องบิน) อย่างเช่น ที่ตำแหน่งของขุนช้างเคี่ยน ปี 2554 กับ 2555 ดอกไม้บานประมาณช่วงปีใหม่ ปีก่อนๆ หน้านั้นบานประมาณกลางเดือนมกราคม พอคิดว่าปี 2554 กับ 2555 อยู่ในช่วงที่ประเทศไทยเกิดอากาศแปรปรวนและน้ำท่วมใหญ่ แอดมินเลยกะว่าปกติแล้วพญาเสือโคร่งที่ขุนช้างเคี่ยนน่าจะบานในช่วงเดียวกับหลายๆ ปีก่อนคือกลางมกราคมลงไปมากกว่า (ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูจุดที่จะไปชมดอกไม้ด้วยนะคะ เพราะแต่ละที่จะบานไม่พร้อมกันค่ะ) เลยเสี่ยงดวงด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ จองตั๋วเครื่องบินประมาณปลายๆ มกราคมค่า

 คราวนี้ พอจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็มาหาที่พักกันต่อ เตรียมกันล่วงหน้าก็ดีเพราะมีเวลาหาข้อมูลค่า ดูไปดูมาๆ จังหวัดเชียงใหม่นี่ช่างกว้างใหญ่ แถมมีหลายอำเภอ แต่แอดมินเลือกพักใน อ.เมือง เพราะความสะดวกสบายและเป็นศูนย์กลางการเดินทาง จะได้ไปขุนช้างเคี่ยนได้ไม่ลำบากมาก สุดท้ายมาลงที่ เครือโรงแรม B2 สาขาถนนนิมมานเหมินทร์ค่า

 ที่เราเลือกพักในถนนนิมมานเหมินทร์ เหตุผลก็เป็นเพราะว่าเที่ยวประหยัดแบบนี้ อยากจะประหยัดค่าเดินทางค่า ที่พักในถนนนิมมานเหมินทร์นั้นค่อนข้างเหมาะกับนักเดินทางที่ไม่มีรถส่วนตัว ต้องโดยสารรถประจำทาง เป็นที่ขึ้นรถต่อลาได้สะดวกสบายนั่นเองค่า และ B2 ก็เป็นเครือโรงแรมที่น่าเชื่อถือมีหลายสาขาในจังหวัดเชียงใหม่ค่า ช่วงที่ไปวันธรรมดาตกราคาประมาณคืนละ 1,900 บาท ราคาเดียวกับวอล์คอินเลยเจ้า

 แฮ่กๆ เขียนไปเหนื่อยไปค่ะ ต่อมาพอได้ตั๋วเครื่องบินแล้ว ที่พักแล้ว สิ่งที่ต้องจัดการล่วงหน้าอีกอย่างคือพาหนะเดินทางในจังหวัดเชียงใหม่ค่า เป้าของเราคือขุนช้างเคี่ยน ดังนั้น จากโรงแรมในตัวเมือง จะไปขุนช้างเคี่ยนได้อย่างไรมีหลายวิธีค่า

แผนที่ของขุนช้างเคี่ยน เครดิต www.thaimtb.com



ทางขึ้นขุนช้างเคี่ยนนั้นไปทางเดียวกับพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ค่า
1 เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ขึ้นไป ถ้าขี่ไม่แข็งล่ะก็ อันตรายทีเดียวนะคะ
2 เหมารถสองแถว หรือที่เชียงใหม่เขาเรียกกันว่า รถแดง จากหน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ ตรงทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ และยังต้องเปลี่ยนรถอีกครั้ง เมื่อไปถึงหมู่บ้านม้ง เพื่อขึ้นไปให้ถึงขุนช้างเคี่ยน สนนราคาไปถึงขุนช้างเคี่ยนก็ประมาณ 1 พันบาทได้ค่ะ
3 ถ้าขับรถได้ สามารถเช่ารถ เป็นรายวัน โดยบริษัทเช่ารถนั้น มีหลากหลายแห่งค่ะ เช่น avis, budget, hertz ที่ปล่อยรถให้เช่าหลายๆ จังหวัดในประเทศไทย รวมทั้งบริษัทรถเช่าของท้องถิ่นอีกหลายๆ แห่ง แต่ประเด็นคือ การเช่ารถกับบริษัทเหล่านี้ นอกเหนือจากค่าเช่ารถ ผู้เช่าต้องมีบัตรเครดิต เพื่อวางยอดมัดจำรถยนต์ อย่างเช่นยอด 20,000 เอาไว้ก่อนนำรถยนต์ไปใช้เพื่อประกันความเสียหายของรถ หากไม่มีอะไรผิดพลาด บริษัทก็จะไม่ตัดเงิน แต่หากมีอะไรเกิดขึ้น บริษัทจะตัดเงินจากบัตรเครดิตได้ภายหลังค่ะ

 เอาล่ะสิ แอดมินก็เป็นสาวประหยัดที่ไม่มีบัตรเครติดซะด้วย ทำยังไงดีล่ะทีนี้ เพราะบริษัทรถเช่าส่วนมากต้องใช้บัตรเครดิตทั้งนั้นเลย ค้นไปค้นมา ไปเจอที่นี่ค่ะ
เป็นบริษัทรถเช่าของท้องถิ่น ที่ทำธุรกิจเป็นครอบครัว ไม่ต้องมีบัตรเครดิตก็เช่าได้ ค่าเช่ารถตกวันละ 1,000 บาท เลือกรุ่นรถได้ แต่ต้องเสียค่ามัดจำเป็นเงินสด ประมาณ 3,000 บาทค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีประกันให้นะคะ ถ้ารถหาย เกิดอุบัติเหตุ ผู้เช่าต้องรับผิดชอบทั้งหมดค่ะ ตอนแรกไม่รู้เลยนะเนี่ยยย ไปรับรถแล้วอ่านในเอกสารสัญญา เขียนไว้อย่างงี้เลยค่ะ ขับรถไปทั้งวันด้วยความกะเหี้ยนกะหือรือ เฮ้อออ

 หลังจากเตรียมทุกอย่างครบแล้ว ก็อย่าลืมเตรียมแผนการเที่ยวนะคะ ว่าในช่วงเวลาเที่ยวนี่ จะเดินทางยังไง ไปไหนบ้าง ไปอันไหนก่อนอันไหนหลัง จะได้ไม่เสียเวลา และไม่เดินทางแบบอ้อมไปอ้อมมาค่า

 ก่อนเดินทาง สามารถเช็คสภาพอากาศได้ที่เว็บนี้ค่า จะได้เตรียมตัวและของใช้ถูกเนอะ ไปตอนหน้าหนาวด้วย ว้าวๆๆ
http://www.weather.com/weather/monthly/THXX0003?month=0

 พร้อมแล้ว เพื่อเพิ่มดีกรีความฟิน
ดูรีวิวเชียงใหม่ประกอบเพลง ธรณีนี่นี้ใครครองค่า
 ไปกันเล้ยยย บินๆๆ 




 ถึงเชียงใหม่แล้วเจ้าาา


 เป็นเพราะว่าตั๋วของแอร์เอเชียที่จองเป็นตั๋วช่วงโปรโมชั่นราคาถูกค่ะ พอออกจากกรุงเทพฯ มาถึงเชียงใหม่ก็ได้นอนเลยเพราะมืดเลย

 พอถึงสนามบินเชียงใหม่แล้วก็สามารถนั่งรถแดงหน้าหนามบินมาลงที่นิมมานเหมินทร์ได้เจ้า
สนนราคาตกคนละประมาณ 30 -40 บาท ต่อราคากัน ถ้าไม่ยอมลดก็ยืนรอท้าลมหนาวกันต่อไป แต่คนที่พูดสำเนียงเหนือได้นั่งกันคนละ 20 นะเออ ว่ายังไงล่ะ ฮ่าๆๆ



 มาถึงที่่พักแล้ว เย่ๆๆ B2 นิมมานเหมินทร์ค่า

 มุมนี้เหมือนเป็นมุมอ่านหนังสือ อยากมีไว้ที่บ้านของตัวเองบ้างจังเลย กลิ้งเพลินสุดๆ

 มองจากห้องไปทางประตูค่ะ

 ตู้เสื้อผ้าบ้าง

 ห้องน้ำบ้าง สะอาดดีค่ะ น้ำอุ่นไหลแรงค่ะ



 เครื่องใช้ พร้อม...

 กระเป๋าอะไรเนี่ย อ๋อ ข้างในเป็นไดร์เป่าผมค่ะ

 อ่างล้างหน้าน่าล้าง



 มีตู้เย็นด้วยค่ะ

 ทีวีจอแบนนน

 โต๊ะนั่งเขียนหนังสือในความมืด

 โคมไฟมุมอ่านหนังสือค่ะ อาร์ตสุดๆ

 บูติคได้ใจ

 พอเก็บของเข้าโรงแรมแล้ว ยืนงงๆ เพราะเน้นเที่ยวกับถ่ายรูป ยังไม่ค่อยได้หาข้อมูลเรื่องกินมา
ถามพี่รีเซ็พชั่นโรงแรมโลด อยู่กันหลายวัน ถ๊ามกันอยู่อย่างนั้นอ่ะ ทุกวัน
พี่ก็ช่างอดทนกับเราเหลือเกินค่า แนะนำให้ไปกินร้านต๋อง ที่ถนนนิมมานฯ 13

 ดีใจที่ถามพี่รีเซพฯ เพราะร้านนี้เด็ดจริงๆ ขนาดคืนวันธรรมดา ยังคนเยอะมาก
แอดมินแนะนำให้ไปจองคิวไว้ก่อน ไม่ได้พูดเล่นนะเอ้อ

 บรรยากาศดี ชิลล์ ได้ยินเสียงสาวโต๊ะข้างๆ ตะโกนด้วยเสียงใหญ่แบบชายหนุ่มว่า เฮ้ย ฯลฯ เม้ามอยกัน
ตกใจหมดเลย...

 อาหารร้านต๋องเป็นอาหารเหนือรสชาดดั้งเดิม แซ่บมั่กมากกก




 อิ่มแล้วหงายหน้าขึ้นไปดูวิวว

 เดินกลับมาที่โรงแรม ตอนกลางคืนก็สวยไม่ใช่เล่นนะเนี่ยเรา
ต้องชักภาพไว้เป็นที่ระทึกสักหน่อย




 ถ่ายรูปทีพี่รีเซฟฯ มุดลงไปใต้เคาน์เตอร์กันหมดเลย

 บันไดขึ้นห้อง นอนแล้วน้า คร่อกฟี้...

  เช้าแล้ว รถของบริษัทนครพิงค์ เรนท์ อะคาร์ แอนด์ ทัวร์ ที่เราติดต่อจากเฟสบุ้ค kinteawrentacar 
ก็มาส่งตามที่นัดหมาย 
แล้วก็เพิ่มความรอบคอบก่อนรับรถ ด้วยการ
1 ถ่ายรูปน้ำมันตอนรับรถ ที่นี่เค้าให้เติมน้ำมันรถให้เท่าเดิม ตอนส่งรถกลับค่า
ส่วนบริษัทเช่าที่อื่น มักจะเติมน้ำมันเต็มถังมา แล้วให้เราเติมเต็มถังกลับเวลาส่งคืนค่า


2 ก่อนรับรถ ตรวจเช็คและถ่ายรูป รอยบนรถไว้ก่อนนะคะ จะได้ยืนยันได้เมื่อส่งคืนรถค่ะ
ว่าไม่ได้เอาไปทำรอยใหม่มาน้า คุยกับบริษัทให้ชัดเจนว่ามีตรงไหนบ้างค่ะ





 เอาล่ะ ขึ้นรถแล้ว ตื่นเต้นจังเลย ว้าวๆๆ เราก็เหมือนเดิม ใช้ gps นำทางในมือถือ
เพื่อเดินทางไปยังขุนวางค่ะ อ้าว ไม่ใช่ขุนช้างเคี่ยนนะคะ เพราะว่าวันที่ออกเดินทางนั้น
พญาเสือโคร่งที่ขุนช้างเคี่ยนนั้นยังไม่บานค่า แป่ววว

 gps พาเราขึ้นไปตามเส้นทางแม่วาง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ทางที่นักท่องเที่ยวไปกันค่ะ
เ้ป็นทางลูกรังขึ้นเขาเลยทีเดียว
บางที gps ก็เชื่อไม่ได๊นะเนี่ยยยย
 ผ่านปางช้างด้วยค่า


 ขับขึ้นเขาแล้ว

 ตื่นเต้นสุดๆ มีช่วงถนนคลุกฝุ่น บางช่วงทำทาง บางช่วงแคบมาก

 แฮ่กๆ ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงขุนวางแล้ว เย่ๆๆ
พญาเสือโคร่งตรงด้านหน้าที่ทำการราชการนั้น ยังไม่บานค่ะ
แต่เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำเรา (ขอบคุณนะค้า) ให้เดินเข้ามายังป่าด้านใน
ซึ่งอยู่ลึกจากที่ทำการเข้ามาค่ะ

 สมใจแล้ว แว้วๆๆๆ (เสียงเอ็คโค่)

 ฟินมากๆ ณ จุดนี้

 งาม เพลินเลยอ่ะ





 พญาเสือโคร่งปกติแล้วลำต้นจะค่อนข้างสูงค่ะ
แต่ต้นนี้ล้มลงมา ทำให้เราได้เอาหัวเข้าไปซุก ถ่ายรูปและชื่นชมดอกไม้งามใกล้ๆ









 สภาพป่าบริเวณรอบๆ ค่ะ



 ดูใกล้ๆ แล้วน่ารักจังเลยเนาะ









 ข้างหลังมีภูเขา โอ๊ย สุดจะฟินนน



 นึกถึงไ่ร่ส้ม ในละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง เอ แต่นี่เหมือนจะไม่ใช่ไร่ส้มนะ

 หลังจากสูบซากุระเมืองไทยกันจนจุใจแล้ว เราก็กลับออกมาด้านหน้าค่ะ
มีคนมากางเต๊นท์นอนด้วยนะ

 ด้านหลังเป็นเต๊นท์ ด้านหน้าเป็นแบบนิ


 พญาเสือโคร่ง ตรงถนนด้านหน้าของสำนักงาน บานนิดเีดียวค่ะ


 เจ้าหน้าที่่ส่วนราชการของขุนวาง ยังกรุณาแนะนำที่ท่องเที่ยวให้เราเพิ่มเติมด้วยค่ะ
จากขุนวาง ถ้าวิ่งลงไปยังอำเภอจอมทอง จะมีเส้นทางท่องเที่ยวที่สวยงามหลายแห่ง
ให้เราไปเปิดตาดูเมืองไทยกันค่ะ

 หนาวได้ใจ
โปรดเปิดเพลงประกอบละคร ธรณีฯ คลอไปด้วย

อ๊ะ นั่นเห็นอะไร ชมพูๆ





 วิ่งตามทางมาสักพัก เราก็มาถึงกันแล้วววว

 ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ดอยอินทนนท์ค่า

 พี่เจ้าหน้าที่ที่ขุนวางบอกว่า ให้มาที่นี่ด้วย เพราะพญาเสือโคร่งเยอะมากค่ะ





 มีบึงน้ำอยู่ตรงกลางศูนย์ค่ะ สวยงามมาก



 มาถึงศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี ต้องชักภาพกล้วยไม้เจ้าศูนย์สักรูป (รูปเดียวเองรึ?)
นะคะ



 ช่วงดอกไม้บานแบบนี้ คู่รักมักจะใส่เสื้อคู่ มาเที่ยวกันนะคะ

 ลงมาตามเส้นทางมุ่งสู่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ค่ะ

 โอ้ แม่เจ้า ระหว่างทางเห็นน้ำตก อยู่กลางภูเขาเลยแฮะ

 สวย แต่ น้ำตกอะไรเนี่ย

 บริเวณหน้าโรงเรียนค่ะ
อย่างนี้สินะ ที่เค้าเรียกกันว่าถนนสายสีชมพู :D

 เส้นทางนี้ที่เที่ยวเยอะจริงๆ ค่ะ
ระหว่างทางเราได้แวะที่ บ้านแม่กลางหลวง ด้วยค่ะ

 กินนมชมดอกไม้


 ทุ่งนาขั้นบันได...






จิบโอวัลตินพลาง...


 เอาหน้าโต้ลม...

 โต้ลมกันจนหน้าบานแล้ว
เราก็เดินทางกันต่อค่ะ
พี่เจ้าหน้าที่ ที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บ้านแม่กลางหลวง
แนะนำเราต่อค่ะ เพราะเราถามเค้าไปเรื่อย
น้ำตกวชิรธารค่ะ


 ยิ่งใหญ่ และงดงาม เป็นไฮไลท์ของจังหวัดเชียงใหม่เลยนะคะเนี่ย

 นั่งมองดูต้นไม้ ริมน้ำตก
มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ก็อยู่ได้ มันลู่ตามแรงลม
เหมือนคนเราเลยนะคะ คนตัวเล็กๆ อย่างเรา
บางทีก็ต้องลู่ลม โอนอ่อน ผ่อนปรนบ้าง...

 ปล่อยให้มันเป็นไป...

 กลับเข้าตัวเมืองแล้วค่า
คืนรถให้บริษัทแล้ว
ยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต่อดี
แต่อยู่ถนนนิมมานฯ นี่
ไปเยี่ยมพี่เค้าซักหน่อย
ร้านไอติม iberry นิมมาน ซอย 17 ค่ะ
เดินไปหน่อยก็ถึ้งงง

 ผี่โน้ต ผี่โน้ต



 รู้ใจจริงๆ เลย ตรงนี้ยุงเยอะฉุดๆ




 จ่าเฉยก็มาด้วย


 กินไอติมแล้ว...
เรานั่งสองแถวจากนิมมานฯ ไปเดินที่ไนท์บาซ่าร์ เชียงใหม่กันต่อค่ะ
แต่เป็นย่านนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า
ไม่ได้เก็บภาพมา แต่กินร้านข้าวซอยแถวๆ นั้นค่ะ
ถ้ามาเที่ยวเชียงใหม่ช่วงสุดสัปดาห์ จะมีถนนคนเดิน
น่าเดินมากๆ ค่ะ อย่างเช่นถนนคนเดินท่าแพ มีงานฝีมือน่ารักๆ เพียบค่ะ
พอแอดมินกลับจากไนท์บาซ่าร์แล้ว
กลับมา
นอนค่ะ
เด็กอนามัยมากๆ
รุ่งเช้ามา ก่อนลาจากโรงแรม

 ผ้าใส่กรอบประดับหัวเตียง ศิลป์ดีนะคะ

 เราเช็คเอาท์ แล้วฝากกระเป๋าไว้กับ B2 ถือว่าเป็นโรงแรมที่น่าประทับใจค่ะ
จะมีจุดติบ้าง ตรงคีย์การ์ดที่มาเสียเอาเฉพาะห้องของเราพอดี แค่เท่านั้นเองค่ะ
จะกลับแล้ว
เราก็ยังมีหน้าไปถามพี่รีเซพฯ อีก
พี่เค้าแนะนำให้ไปกินร้านก๋วยจั๊บ ข้าวหมูกรอบ
เดินออกจากซอยโรงแรม มาทางขวา ไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ
อร่อย จริงๆ ค่ะ


 ก๋วยจั๊บของร้านนี้ มีกลิ่นพริกไทยด้วย
และยังใส่ผักกาดแก้ว
เห็นแล้วหิววว



 วันสุดท้ายในเชียงใหม่แล้ว
อยากขึ้นไปพระธาตุดอยสุเทพจัง
แต่งบน้อย
มาดอยในสวนสัตว์เชียงใหม่แทนแล้วกันเนอะ
วิวสวยไม่แพ้ตามวัดวาอารามของเชียงใหม่เลยนะเจ้า
แถมราคาผู้ใหญ่จ่าย 70 บาท อยู่ได้ทั้งวันเลยเอ้อ



 บิดขี้เกียจ ฮึ้บบบ

 อยากเกิดเป็นแมวในสวนสัตว์เชียงใหม่

 บริเวณสวนดอกไม้ค่ะ







 เดินมาหาคุณยีราฟ
ป้อนกับปากกก

 ยีราฟแม่ลูก


 ยีราฟพ่อแม่



 ช้างอาบน้ำ อย่ามองอย่างอื่น...

 จริงๆ แล้วสวนสัตว์เชียงใหม่มีบริการรถราง วิ่งรอบสวนสัตว์
ซึ่งเปรียบเสมือนภูเขาลูกหนึ่ง
พระเจ้า
มันกว้างมาก
เดินกันได้ทั้งวันเลย
ขาลาก
แต่เรา
เดิน

 เดินมาถึงส่วนของโรงอาหารแล้ว

 วิวดีโพดๆ แต่ข้าวจานละ 30 ได้
สวยเว่อร์

 ผ่านอาควาเรี่ยมด้วย
ค่าเข้า ผู้ใหญ่คนละ 290 บาทแน่ะฮืออ
เลยไม่เข้า





 รู้แล้วจ้า 



 

เดินมาอีก มีส่วนของสัตว์ทวีปออสเตรเลีย และสวนสัตว์เด็กค่ะ
ป้อนอาหารให้น้องกวาง









 ระหว่างทาง






 ช้างสีมรกต


 ตูดแรด

 เข้ามาในสวนนก

สวนนกแอร์
 












 

  นี่เดินอยู่ในสวนสัตว์หรือป่าหิมพานต์เนี่ย


ปิดท้ายสวนสัตว์
ด้วยการแสดงโชว์สัตว์แสนรู้
ไปสวนสัตว์ทีไร โชว์นี่เป็นอะไรที่พลาดไม่ได้จริงๆ ค่ะ

 เอิ่ม...
ตัวอะไรเนี่ย










 ที่ถ่ายเจ้าตัวนี้หลายรูป ก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่น่ารักค่ะ อิอิ
หนุ่มสาวเชียงใหม่ หน้าตาน่ารักจริงๆ นะเอ้อ



นกเงือกค่ะ



 กระดก


 เอื๊อก...

การแสดงนกเก็บแบ็งค์...

 หายไปแร้ว





 วันสุดท้าย จบลงที่สวนสัตว์เชียงใหม่ค่ะ
โชว์ โดยเฉพาะโชว์สัตว์แสนรู้ของที่นี่
เหมาะกับน้องๆ หนูๆ มากๆ
เพราะเน้นแนวคิดอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม
ดูไปแทบน้ำตาไหล
ซึ้ง...
และที่นี่ยังมีหมีแพนด้าให้ได้ชมกันด้วยนะ 
คิดราคาแยกจากบัตรรวม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาทค่า

 จะกลับกันแล้ว
เรากลับไปรับกระเป๋าที่โรงแรม
และให้พี่รถแดงไปส่งต่อที่สนามบินเชียงใหม่เลย
ระหว่างนั่งรอที่ร้านกาแฟในสนามบิน
ยังงัดข้าวเหนียวปิ้งที่ซื้อหน้าสวนสัตว์เชียงใหม่มาแจมได้อีก

 จบทริปนี้ด้วยความประทับใจค่า
มีทริคในการเที่ยว และเทียวแบบประหยัดที่ดีบ้างไม่ดีบ้างนะค้า
และการเช่ารถขับในจังหวัดเชียงใหม่เป็นอะไรที่สนุกเร้าใจมากๆ
สุดท้าย ในใจแอดมินอยากจะทำบัตรเครดิตขึ้นมาเลยทีเดียว
สำหรับบริการรถเช่าแล้ว น่าจะมีประโยชน์มากๆ เลยนะค้า
หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับคนรักเชียงใหมบ้าง ไม่มากก็น้อยค่าาา
-สวัสดี-





No comments:

Post a Comment